ธุรกิจครอบครัวตระกูลจิราธิวัฒน์-เซ็นทรัล

ปี2555
3.
“เซ็นทรัลรีเทล” บุกอินโดนีเซีย ลงทุน 600 ล้านยึดชอปปิงหรูกลางกรุงจาการ์ตา “แกรนด์ อินโดนีเซีย” ปักธงห้างเซ็นทรัลแห่งแรกชิมลาง


 นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรี เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยว่า ได้ลงนามเซ็นสัญญากับพันธมิตรธุรกิจ บริษัท พีที แกรนด์ อินโดนีเซีย ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเช่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของศูนย์การค้า แกรนด์ อินโดนีเซีย ชอปปิงคอมเพล็กซ์ระดับไฮเอนด์ ใจกลางกรุงจาการ์ตา จำนวน 4 ชั้น รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 2.1 หมื่น ตร.ม. เพื่อเปิดบริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลสาขาแรกในภูมิภาคอาเซียน ภายใต้งบลงทุนรวมกว่า 600 ล้านบาท กำหนดเปิดบริการในปี 2557
 เบื้องต้น เซ็นทรัล ตั้งเป้าหมายขยายสาขาต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียนไม่ต่ำกว่า 5 สาขา ภายในปี 60 อาทิ ในกรุงจาการ์ตา และเมืองสุราบายา โดยการเลือกขยายตลาดประเทศอินโดนีเซียในลำดับจากนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดด้วยจำนวนประชากรสูงสุดใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมกว่า 250 ล้านคน ขณะที่กรุงจาการ์ตามีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน  โดยได้แต่งตั้ง นายอลัน ทอมป์สัน ดำรงตำแหน่ง International Business Director - Southeast Asia ดูแลการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในสาขาที่ศูนย์การค้าแกรนด์ อินโดนีเซีย จะมีการแต่งตั้งผู้จัดการสาขาชาวอินโดนีเซีย เพื่อให้บริการลูกค้าและการติดต่อกับหน่วยงานในท้องถิ่นได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
 สำหรับ “แกรนด์ อินโดนีเซีย” เป็นชอปปิงคอมเพล็กซ์ ขนาดใหญ่ใจกลางเขตเศรษฐกิจของกรุงจาการ์ตา บนถนน MH. Thamrin ถนนสายธุรกิจอันดับ 1 ของประเทศอินโดนีเซีย โดยมี Selamat Datang Monument  แลนด์มาร์คอันเป็นสัญลักษณ์ของจาการ์ตาตั้งอยู่ด้านหน้า กลุ่มอาคารขนาดใหญ่นี้ประกอบด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่หรูหราทันสมัย อาคารสำนักงาน 56 ชั้น โรงแรม และที่พักอาศัยระดับ 5 ดาว รวมพื้นที่กว่า 6 แสน ตร.ม. มีลูกค้าหมุนเวียนใช้บริการมากกว่า 1.3 ล้านคนต่อเดือน
 ก่อนหน้านี้ นางยุวดี จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ “ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล” ว่า ต้องการผลักดัน “เซ็นทรัล” ก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าแห่งอาเซียนในด้านยอดขายภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยเบื้องต้นวางแผนระยะกลาง 5 ปีจากนี้ (2555-2560) จะมีการขยายสาขาใหม่อย่างน้อย 8 แห่ง เป็นการเปิดในประเทศ 4-5 แห่ง และต่างประเทศ 2-3 แห่ง ภายใต้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท กล่าวคือ การเปิดห้างเซ็นทรัลใน ประเทศไทยใช้งบลงทุนเฉลี่ย 1,200 ล้านบาทต่อแห่ง พื้นที่ขนาด 2.5 หมื่น ตร.ม. ส่วนต่างประเทศใช้งบ 600 ล้านบาทต่อแห่ง  ขนาดพื้นที่อย่างต่ำ 2 หมื่น ตร.ม. โดยช่วงปลายปีนี้จะมีการเปิดสาขาใหม่ที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน
 นางยุวดี กล่าวด้วยว่า การแข่งขันของธุรกิจห้างสรรพสินค้าในภูมิภาคอาเซียน มีกลุ่มผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่มีการขยายเครือข่ายนอกประเทศ เช่น ซีเค แทงส์ (CK Tangs) แห่งสิงคโปร์ กลุ่มทุนเก่าแก่กว่า 80 ปี  พาร์คสัน (Parkson) กลุ่มทุนแห่งมาเลเซีย กิจการอายุ 25 ปี มีการขยายสาขาห้างสรรพสินค้าในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา เป็นต้น การรุกขยายอาณาจักรของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลใน ครั้งนี้ นับเป็นคู่แข่งโดยตรงของผู้ประกอบการเหล่านี้  นอกจากนี้ในประเทศอื่นซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่มีโอกาสทางการตลาดสูง มีผู้ประกอบการรายใหญ่จำนวนไม่น้อย เช่น ฟิลิปปินส์ มีห้างสรรพสินค้ารัสแทนส์ (Rustans) กิจการเก่าแก่ 61 ปี  มาตาฮาริ (Matahati) เก่าแก่ 54 ปี
*อ้างจาก http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/marketing/20120726/463292/เซ็นทรัลรีเทล-บุกอินโด-เปิดห้างหรู.html

2.นางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นฯ (ซีอาร์ซี) ในกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า  ภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกในไทยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตสูงต่อเนื่อง  และมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทำให้มีความต้องการแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะเฉพาะด้านในสาขาวิชาชีพการจัดการธุรกิจค้าปลีก เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้บริโภค ทำให้บริษัทใช้งบลงทุน 51 ล้านบาท เปิดตัวโครงการ "ยังโปรเฟสชันแนล รีเทลเลอร์" มอบทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาเข้าร่วมโครงการตลอดหลักสูตรโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยร่วมกับ 8 สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์(กิ่งเพชร),มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเทคนิคกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี(คลองหก) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์   
 


                  โดยระยะเวลาดำเนินการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปวส. ระยะเวลา 2ปี-2.5 ปี, ผู้สำเร็จการศึกษาระดับม.6, ปวช. ระยะเวลาการศึกษา 4 ปี ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 500 ทุนการศึกษา ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 260-300 บาท ในวันฝึกปฏิบัติงาน รวมถึงมีอาชีพรองรับ และโอกาสได้รับคัดเลือกเข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกเมื่อสำเร็จการศึกษาทันที ในเครือซีอาร์ซี เป็นต้น   
                  "คาดว่าจะสามารถผลิตบุคลากรด้านค้าปลีกมืออาชีพได้จำนวนหนึ่ง แต่ในระยะใกล้ยังต้องผลิตแรงงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันพบว่าความต้องการแรงงานด้านค้าปลีกในภาคบริการซึ่งเป็นอันดับ 2 ของประเทศค่อนข้างสูง และเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีแล้วคาดว่าแรงงานในภาคบริการดังกล่าวจะยังขยายตัวอีกมาก ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจไทยและภาคการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้รองรับกับความต้องการของตลาดแรงงานค้าปลีกด้วย"   
http://goo.gl/dHvou

1.กลุ่มเซ็นทรัลเตรียมอัดฉีดงบกว่า 30,000 ล้าน ขยายธุรกิจปี 2555 ตั้งเป้าโต 35% ยอดขายไม่ต่ำกว่า 188,000 ล้าน 

มุ่งเดินหน้าลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมขับเคลื่อนกิจกรรมช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มกำลัง
โชว์ผลงานเด่นปี 54 ยอดขายทะลุเป้ากว่า 139,600 ล้านบาท มีอัตราเติบโตกว่า 17% สูงกว่าเป้า แม้เจอวิกฤตมหาอุทกภัย

8 กุมภาพันธ์ 2555 - บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด นำโดย นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหาร CMB (CEO Management Board)แถลงแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ของธุรกิจในเครือปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าโต 35 % โดยประมาณการยอดขายปี 2555 ที่ 188,000 ล้านบาทพร้อมเผยยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่ม สู่เป้าหมายความสำเร็จในระดับนานาชาติ สานต่อกลยุทธ์ “ดำเนินการฟื้นฟู ปรับปรุง แสวงหาพันธมิตร ควบกิจการ เพิ่มมูลค่า ขยายสาขา พัฒนาช่องทางใหม่ ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม” พร้อมแถลงผลงานเด่น ซึ่งมียอดขายรวมทั้งกลุ่มฯ กว่า 139,600 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ประมาณการไว้ที่ 133,500 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 17% จากปีที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศรวมถึงวิกฤตมหาอุทกภัยที่ทำให้ต้องปิดศูนย์การค้าหลายแห่ง และการปิดปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซน

นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า “ ในปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลยังถือว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของทุกบริษัทในเครือ โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเกิดมหาอุทกภัยในหลายจังหวัด และนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง ทว่าด้วยประสบการณ์และความเข้มแข็งของกลุ่มฯ รวมถึงความสามัคคีของผู้บริหารและพนักงาน ตลอดจนลูกค้าที่ยังคงให้การสนับสนุนธุรกิจของกลุ่มฯ ด้วยดี เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เรายังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบายและกลยุทธ์หลัก ที่พร้อมจะนำบทเรียนครั้งสำคัญนี้มาปรับใช้ และนำมาเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์สำหรับการก้าวต่อไปในปี 2555 และในอนาคต นี่คือจุดท้าทายครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของเรา เป็น “Our Challenge 2012” ที่เราพร้อมจะปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสและก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมั่นคงยิ่งขึ้น” 

“ภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ มีแนวโน้มว่ากำลังฟื้นตัว เริ่มเห็นกำลังซื้อของประชาชนกลับมา ซึ่งเราหวังว่านโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะมีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และช่วยให้เกิดการขยายตัวของภาคการบริโภค ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการ จัดกิจกรรมและโครงการ เพื่อส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและคู่ค้าของเรา และเพื่อให้ กลุ่มเซ็นทรัล มีการเติบโตตามเป้าหมาย เราได้ยึดหลักมุ่งมั่นอุทิศตนทำงานเพื่อส่วนรวม ยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรมและการมีจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจ เพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน” นายสุทธิธรรม กล่าว

กลุ่มเซ็นทรัลได้กำหนดนโยบายในการทำธุรกิจปี 2555 โดยสานต่อกลยุทธ์ “ดำเนินการฟื้นฟูปรับปรุง แสวงหาพันธมิตรควบกิจการ เพิ่มมูลค่า ขยายสาขา พัฒนาช่องทางใหม่ ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม” และต้องทำเรื่องการบริหารความเสี่ยงที่เข้มข้นอยู่แล้วให้เข้มข้นขึ้นไปอีก เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตด้านต่าง ๆ และยังคงยึดแนวทางในการเติบโตทางด้านธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบรวมกิจการ หรือ M&A (Mergers & Acquisitions) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ส่งผลให้กลุ่มฯ ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา และสร้างปรากฎการณ์ประวัติศาสตร์ค้าปลีก ด้วยการลงทุนกว่า 11,000 ล้านบาท ซื้อกิจการของห้างสัญชาติอิตาลี la Rinascente ซึ่งเป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี และกลุ่มธุรกิจอาหารได้ขยายพอร์ตธุรกิจอาหารด้วยการซื้อกิจการร้านอาหารญี่ปุ่น Ootoya มูลค่ากว่า 720 ล้านบาท

นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังมีการขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างองค์กรให้เป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ (ระดับสากล) โดยในปี 2554 ได้ขยายธุรกิจโรงแรม เซนทาราผ่านการรับจ้างบริหารตามกลยุทธ์ Asset-Light Strategy ซึ่งได้เซ็นสัญญาดำเนินการกับ โรงแรมต่างๆ 23 แห่ง และเปิดบริการในปีที่ผ่านมา 4 แห่ง เป็นโรงแรมในประเทศ 3 แห่ง ได้แก่ Waterfront Suites Phuket , Centara Grand West Sands Resort & Villas และ Centara Anda Dhevi & Spa Krabi และต่างประเทศ 1 แห่ง คือ Chen Sea Resort & Spa Phu Quoc, Centara Boutique Collection ประเทศเวียดนาม

ในปี 2555 กลุ่มเซ็นทรัล มีแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ คาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 พ.ศ. 2556 เปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสันประมาณ 5 สาขาต่อปี โดยในปีนี้จะเปิดสาขาที่สุพรรณบุรี บางแค Mega Bangna สุราษฎร์ธานี และลำปาง พร้อมขยายสาขาของ Tops Daily และกลุ่ม Specialty Store รวมมากกว่า 200 สาขา ขยายศูนย์การค้าและธุรกิจภายใต้การบริหารของซีพีเอ็นประมาณ 3 ศูนย์การค้าต่อปี แผนรับบริหารจัดการโรงแรมในประเทศและต่างประเทศโดยจะคัดเลือกบริหารเฉพาะโรงแรมที่ดีมีคุณภาพในขนาดที่เหมาะสมก่อน และเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน

นอกจากนี้มีการขยายสาขาในแบรนด์ใหม่ๆ ในกลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งได้แก่ Ootoya, Yoshinoya, Chabuton และ The Terrace มีการเพิ่มสาขาของ KFC, Mister Donut, Auntie Anne’s และการร่วมทุนเพื่อขยายโรงแรมเซนทาราแห่งใหม่ที่ Giravaru Maldives รวมถึงการปรับภาพลักษณ์สาขาต่างๆ ของทุกแบรนด์ เพื่อให้ดูทันสมัยอยู่เสมอ

ด้านความรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคม หรือ CSR ในปีนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังคงดำเนินตามแผนแม่บท 4 ด้าน คือ ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านความเท่าเทียมทางสังคม ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้านความพอเพียงทางเศรษฐกิจเพื่อคืนกำไรสู่สังคม โดยจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมด้วยโครงการที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนและสังคมอย่างแท้จริงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และในโอกาสปีมหามงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา กลุ่มเซ็นทรัลจะจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อร่วมเฉลิมฉลองร่วมกับรัฐบาลและประชาชนให้สมพระเกียรติอีกด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2554 กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลทั้ง 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (CRC) กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (CPN) กลุ่มธุรกิจค้าส่ง (CMG) กลุ่มธุรกิจโรงแรม(CHR) และกลุ่มธุรกิจอาหาร (CRG) ใช้งบลงทุนไปประมาณ 37,300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนด้านการซื้อกิจการ และเป็นการลงทุนในโครงการใหม่ เช่น โครงการศูนย์การค้าในจังหวัดเชียงราย พิษณุโลก พระรามเก้า Top Daily 60 สาขา ไทวัสดุ 9 สาขา Power Buy 13 สาขา และ Supersports 15 สาขา พร้อมกับเปิดตัวแบรนด์ใหม่และสาขาใหม่ในกลุ่มอาหาร ได้แก่ Ootoya, Yoshinoya, รวมถึงแบรนด์แฟชั่นของกลุ่มค้าส่ง Accessorize, MNG, Lasenza, Agnes b

สำหรับผลประกอบการในปี 2554 กลุ่มธุรกิจทั้ง 5 กลุ่ม มียอดขายรวมกันทั้งสิ้น 139,600 ล้านบาท สำหรับยอดขายที่ได้คิดเป็นอัตราเติบโต 17% จากปีที่ผ่านมา

ในปี 2554 กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลได้รับรางวัลเกียรติยศ ซึ่งยืนยันถึงความเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำในระดับ world class ครอบคลุมในด้านหลักทั้งด้านบริหารธุรกิจ สิ่งแวดล้อม และการบริหารทรัพยากรบุคคล 


*****************
 CRC เปิด M& A ธุรกิจห้างยุโรป-La Rinascente

“เซ็นทรัลรีเทล” ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าชั้นนำอันดับหนึ่ง
ของไทย สร้างประวัติศาสตร์วงการธุรกิจค้าปลีกครั้งยิ่งใหญ่ 
ขยายฐานธุรกิจการค้า
สู่ตลาดยุโรป ลงนามเซ็นสัญญาในข้อตกลงการเข้าซื้อกิจการทั้งหมด
 กับกลุ่มผู้ถือหุ้นของห้างสรรพสินค้า
สุดหรูชื่อดังอันดับ 1 ของอิตาลี “ลา รีนาเชนเต”

นายทศ จิราธิวัฒน์ 
กรรมการผู้จัดการใหญ่
 บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น
 จำกัด เปิดเผยว่า
 “บริษัทฯ ได้ลงนามเซ็นสัญญากับ
กลุ่มผู้ถือหุ้นของ
 บริษัท ลา รีนาเชนเต จำกัด
 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
 เพื่อเข้าซื้อกิจการ
ทั้งหมดของห้างสรรพสินค้าลา รีนาเชนเต
(“รีนาเชนเต”) ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า10,000 ล้านบาท
หรือประมาณ 260 ล้านยูโร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
เซ็นทรัลรีเทลเผยความแกร่งในการขับเคลื่อน ขยายการลงทุนและฐานธุรกิจ
ในยุโรปศูนย์กลางแฟชั่นชั้นนำของโลก สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ครั้งยิ่งใหญ่
อีกครั้งให้วงการค้าปลีกและประเทศไทย การซื้อกิจการห้างสรรพสินค้า
 ลา รีนาเชนเต ในประเทศอิตาลีครั้งนี้ ทำให้บริษัทฯ ก้าวสู่ความเป็นผู้นำ
ธุรกิจห้างสรรพสินค้าระดับโลกอย่างแท้จริง โดยขยายแบรนด์ห้างสรรพสินค้า
ในกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลจากเดิม 3แบรนด์ เป็นทั้งหมด 4 แบรนด์ คือ เซ็นทรัล เซน
 โรบินสัน และ ลา รีนาเชนเต เพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจทั้งในประเทศไทย
และประเทศจีน”

“รีนาเชนเต” เป็นห้างสุดหรูอันดับหนึ่งของ
ประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักดีสำหรับนักท่อง
เที่ยวส่วนใหญ่ เนื่องจาก รีนาเชนเต
 สาขาแฟลกชิปสโตร์ ตั้งอยู่ข้างวิหารดูโอโม
 สถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของมิลาน
 หลังการเข้าลงทุน เรามีแผนพัฒนา
ส่งเสริมให้ รีนาเชนเต เป็นแบรนด์ที่
รู้จักในฐานะ
“เวิลด์คลาส ไลฟ์สไตล์ แบรนด์” (World Class Lifestyle Brand)
 และแผนการขยายสาขาขนาดใหญ่ (flagship store) ในอิตาลีเพิ่มอีก
ในเมืองท่องเที่ยวต่างๆ เช่น โรม เวนิส ฟลอเรนซ์ และ
เมืองสำคัญอื่นๆ เช่น นาโปลี และ โบโลญญา รวมไปถึงประเทศ
เพื่อนบ้านอื่นในยุโรป และ เมืองสำคัญหลักๆ ของโลก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
 รีนาเชนเต มีความสัมพันธ์อันดีกับแบรนด์สินค้าแฟชั่นและดีไซน์
ทั้งของอิตาลีและนานาชาติ เราจึงมองว่าความสัมพันธ์ที่ดีเหล่านี้
จะเป็นประโยชน์ในการขยายตลาดใหม่ๆรวมถึงการเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้า
 จากอิตาลีทั้งภายในและนอกประเทศ
ด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของเซ็นทรัลรีเทล รวมถึงตระกูลจิราธิวัฒน์
 ในธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า ที่สั่งสมมากว่า 60 ปี จะช่วยสนับสนุน
การบริหารงานของคณะผู้บริหาร รีนาเชนเต ในปัจจุบัน อีกทั้งช่วยส่งเสริมให้สินค้า
คุณภาพและแบรนด์ชั้นนำของอิตาลี มีโอกาสในการขยายตลาดทางการค้าใหม่ๆ
 ที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตที่สูงเพิ่มมากขึ้น
“รีนาเชนเต” เป็นห้างสรรพสินค้าสุดหรู
ชื่อดังอันดับ1 ของอิตาลี และเป็นห้าง
ที่ดีที่สุดห้างหนึ่งในทวีปยุโรป เปิดกิจการ
มานานกว่า 150 ปี มีสาขารวมทั้งสิ้น 11
สาขา ตั้งอยู่ตามเมืองสำคัญใหญ่ๆ
 ทั่วประเทศของอิตาลี ได้แก่
มิลาน (Milan) มอนซา (Monza)
 แพดัว (Padova) ตูริน (Torino)
เจนัว (Genova) ฟลอเรนซ์ (Firenze)
 กาลยารี (Caglari) ปาแลร์โม (Palermo)
 คาตาเนีย (Catania) และ โรม (Rome) 2 สาขา จำหน่ายสินค้าแบรนด์ดังหลากหลาย
ประเภท ทั้งสินค้าผู้ชาย เด็กและสตรี เครื่องประดับสุดหรู เครื่องสำอาง ชุดชั้นใน
 สินค้าภายในบ้าน และตกแต่งภายใน เป็นต้น สำหรับแฟลกชิปสโตร์ อยู่ในเมืองมิลาน
 เป็นเมืองแห่งแฟชั่น (Fashion Capital City) ของโลก และยังเป็นแหล่งช็อปปิ้งหลักของ
ทวีปยุโรป สาขานี้พรั่งพร้อมไปด้วยสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกมากมาย อาทิ
 Louis Vuitton , Christian Dior, Fendi, Gucci, Bottega Veneta, Balenciaga, Valentino,
Dolce & Gabbana, Armani, Zegna, Chloe, Miu Miu, Marc Jacobs เป็นต้น
อีกทั้งยังสร้างสรรค์ “Design Supermarket” แผนกที่คัดสรรสินค้าดีไซน์เก๋แปลกใหม่
หลากหลาย การจัดวางสินค้าถูกออกแบบในลักษณะ Shop in Shop แบ่งหมวดหมู่
อย่างชัดเจน สร้างความความโดดเด่นให้กับสินค้าในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร
ลูกค้าที่เข้ามาใน Design Supermarket จะได้รับประสบการณ์ช็อปปิ้งที่แปลกใหม่
 อย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน แผนกนี้จึงถือได้ว่าเป็นแผนกที่เป็นจุดดึงดูดของ
 รีนาเชนเต อีกจุดหนึ่ง
ในปี 53 ที่ผ่านมา รีนาเชนเต มียอดขายรวม
ทั้งสิ้น 350 ล้านยูโร (คิดเป็นมูลค่าประมาณ
 15,000 ล้านบาท)ด้วยความโดดเด่นในการคัดสรร
สินค้าและแบรนด์ชั้นนำ ประกอบกับการปรับรูปแบบ
และดีไซน์ของห้างฯ ให้ทันสมัย ทำให้ธุรกิจมีการเติบโต
อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องมาจากการบริหารธุรกิจ
ที่ดีเยี่ยมของคณะผู้บริหารที่มากด้วยความสามารถ
และประสบการณ์ ภายใต้การนำโดย
นายวิททอริโอ ราดิเช (Vittorio Radice)
Chief Executive Officer (CEO) ผู้มีชื่อเสียง
และประสบการณ์ในวงการห้างสรรพสินค้า
ทั่วโลกมา กว่า 20 ปี จากผลสำเร็จใน
การวางแผนกลยุทธ์ ปรับปรุงการบริหารจัด
การแบบรอบด้านทั้งในการจัดซื้อสินค้า การขาย โอเปอเรชั่น และการตลาด
(Turnaround) ให้ห้างสรรพสินค้า เซลฟริดจส์ (Selfridges) ที่ประเทศอังกฤษ
ให้มีรายได้ และผลกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงได้ถูกทาบทามให้เข้าร่วมงาน
กับห้างรีนาเชนเต นอกจากนี้ นายราดิเช ยังเคยดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหาร
 (Executive Director) ของ Marks and Spencer และ กรรมการผู้จัดการ
(Managing Director) ของ Habitat International
อีกหนึ่งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และความสามารถสูง ที่ทำให้รีนาเชนเต เติบโต
 คือนายอัลเบอโต้ บัลดัน ( Alberto Baldan) Managing Director เข้าร่วมงาน
กับห้างรีนาเชนเต ตั้งแต่ปี พศ.2512 เคยดำรงตำแหน่ง Managing Director
ของบริษัท Conforma Italy และยังมีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ Hypermarket
มานานว่า 10 ปี
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 คณะผู้บริหารชุดปัจจุบันได้ดำเนินกลยุทธ์ ปรับปรุงห้างฯ
ให้ทันสมัย อย่างไม่หยุดนิ่ง มีลักษณะการออกแบบห้างสรรพสินค้าใน
เชิงนวัตกรรม ด้วยรูปแบบล้ำสมัย รวมถึงการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ อย่าง
ต่อเนื่อง ถือว่าเป็นการนำประสบการณ์ด้านการช้อปปิ้งมานำเสนอกับลูกค้า
อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ห้างรีนาเชนเต ในปัจจุบันเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีคุณภาพ
มากที่สุดอีกแห่งสำหรับการช็อปปิ้งของโลก
นายทศ กล่าวทิ้งท้ายว่า“การเข้า
ซื้อกิจการครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบาย
การขยายธุรกิจโดยการซื้อ ควบรวมกิจการ
 (Mergers & Acquisitions)
ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่าง
ก้าวกระโดด บริษัทฯ ยังคงมองหา
โอกาสในการลงทุนในลักษณะนี้อีก
ต่อไปทั้งในประเทศไทย จีน
ประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
 และยุโรป เรามีความมุ่งมั่นที่จะเติบโต ขยายธุรกิจและพัฒนาการดำเนินงาน
อย่างต่อเนื่อง จากนี้ เซ็นทรัลได้เข้าสู่การแข่งขันระดับโลก เราจะมีสิ่งใหม่ๆ
นวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอให้ลูกค้าในแบบที่ยากจะมีผู้ใดแข่งขัน หรือเทียบเคียงได้”







คุณวันชัย จิราธิวัฒน์ ผู้นำตระกูลจิราธิวัฒน์ในปัจจุบัน
 (ภาพจาก ไทยรัฐออนไลน์)

ใหม่ 
วันที่ 08 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 12:31:49 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1297143260&grpid=01&catid=no)

เซ็นทรัล"อัดงบ2หมื่นล้าน ลุยโครงการใหม่ปีนี้อื้อ ลั่นโกยยอดขาย 1.3แสนล้าน
กลุ่ม เซ็นทรัลเตรียมอัดฉีดงบกว่า 20,000 ล้าน เดินหน้าโปรเจ็กต์ใหม่ ตั้งเป้าโต 12% ยอดขายไม่ต่ำกว่า 133,500 ล้าน กางยุทธศาสตร์ธุรกิจระยะสั้น-ยาว สู้ Challenge 2011 ทั้งการฟื้นฟูปรับปรุง แสวงหาพันธมิตรควบกิจการ ขยายสาขา พัฒนาช่องทางใหม่ ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม โชว์ผลงานเด่นปี 53 ยอดขายทะลุเป้ากว่า 119,000 ล้าน

วันนี้ (8 ก.พ.2554) บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด นำโดยนายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหาร CMB (CEO Management Board) ประกาศอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนในโครงการต่างๆ ของธุรกิจในเครือปีนี้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าโต 12 % โดยประมาณการณ์ยอดขายปี 2554 ที่ 133,500 ล้านบาท พร้อมเผยยุทธศาสตร์ธุรกิจระยะสั้น-ระยะยาว เพื่อรับมือกับ Challenge ปี 2011 ของกลุ่มฯ ด้วยยุทธศาสตร์ "ดำเนินการฟื้นฟูปรับปรุง แสวงหาพันธมิตรควบกิจการ เพิ่มมูลค่า ขยายสาขา  พัฒนาช่องทางใหม่  ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม" พร้อมแถลงผลงานเด่นปี 2553 ยอดขายรวมทั้งกลุ่มฯ กว่า 119,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 8% จากปีที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก และปัญหาการเมืองในประเทศ ที่ทำให้ต้องปิดเซ็นทรัลเวิลด์กว่า 9 เดือน และปิดห้างเซนเพื่อปรับปรุงใหม่ก็ตาม     นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า  ปี 2553 มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะวิกฤตครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดอาฟเตอร์ช็อคส่งผลกระทบต่อการ ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทว่าด้วยประสบการณ์และความเข้มแข็งของกลุ่มฯ รวมถึงความสามัคคีของผู้บริหารและพนักงาน ตลอดจนลูกค้าที่ยังคงให้การสนับสนุนธุรกิจของกลุ่มฯ ด้วยดี เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เรายังคงดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบายและกลยุทธ์หลักที่พร้อมจะนำบทเรียนครั้งสำคัญนี้มาปรับใช้ และนำมาเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์สำหรับการก้าวต่อไปในปี 2554 และในอนาคต นี่คือจุดท้าทายครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของเรา เป็น "Our Challenge 2011" ที่เราพร้อมจะปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสและก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมั่น คงยิ่งขึ้น"
"ภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ มีแนวโน้มว่ากำลังฟื้นตัว น่าจะส่งผลดีต่อการลงทุน แม้ว่าภาวะทางการเมืองและสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศจะยังคงดำเนินอยู่ แต่เราหวังว่านโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะมีส่วนช่วยลดภาระ ค่าครองชีพของประชาชน และช่วยให้เกิดการขยายตัวของภาคการบริโภค ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการจัดกิจกรรมและโครงการ เพื่อส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและคู่ค้าของเรา และเพื่อให้กลุ่มเซ็นทรัล มีการเติบโตตามเป้าหมาย เราได้ยึดหลักมุ่งมั่นอุทิศตนทำงานเพื่อส่วนรวม ยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรมและการมีจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจ เพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน" นายสุทธิธรรมกล่าว     กลุ่มเซ็นทรัลได้กำหนดนโยบายในการทำธุรกิจปี 2554 โดยเน้น "ดำเนินการฟื้นฟูปรับปรุง แสวงหาพันธมิตรควบกิจการ เพิ่มมูลค่า ขยายสาขา พัฒนาช่องทางใหม่ ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม" ซึ่งยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล ในปีนี้แบ่งเป็น ยุทธศาสตร์ระยะสั้น และยุทธศาสตร์ระยะยาว     สำหรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจระยะสั้น หรือการจัดการกับธุรกิจที่ได้รับกระทบจากเหตุการณ์อาฟเตอร์ช็อค ซึ่งกลุ่มฯ พร้อมที่จะสร้างความเชื่อมั่นแก่พันธมิตรทางการค้าและลูกค้า โดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งตลอดจนนำปัญหาหรือวิกฤตที่เกิดขึ้นมาปรับเป็นโอกาส ที่ จะเรียนรู้ทบทวนและป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยความไม่ประมาท รวมไปถึงการยืนหยัดที่จะให้บริการคู่ค้าลูกค้าในระดับสากล    และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับสังคมไทยและประเทศ ชาติ โดยมีแนวทางการดำเนินงานโดยปรับเพิ่มหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เฉพาะกิจซึ่งทำหน้าที่ดูแลเรื่องกิจการวิกฤต (Crisis Management Board) โดยมุ่งแก้ปัญหาหรือลดปัญหาผลกระทบจากเหตุการณ์      ในส่วนของยุทธศาสตร์ทางธุรกิจระยะยาว กลุ่มฯ ยังคงยึดแนวทางในการเติบโตทางด้านธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วย
1.การ ควบรวมกิจการ หรือ M&A (Mergers & Acquisitions) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ส่งผลให้กลุ่มฯ ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อธุรกิจและกลุ่มฯ ได้แก่ Synergy การผสานประโยชน์ร่วมกัน ด้วยการใช้ทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ทำให้สามารถลดภาระต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
2.มุ่งสร้างคุณค่าทางธุรกิจ Value Added ด้วยการระดมความรู้ความสามารถและใช้ประสบการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มาพัฒนาปรับปรุงโครงการให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อาทิ การขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ให้ทันสมัยเข้ากับไลฟสไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ การเปิดช้อปปิ้งออนไลน์ (www.central.co.th) และการขายตรง (Direct Sale)
3.การพัฒนาด้วยการขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ตามภารกิจของ CMB ประการหนึ่งในการทำธุรกิจของกลุ่มได้กำหนดว่าจะสร้างองค์กรให้เป็นสถาบันที่ ยอมรับทั้งภายในประเทศและในระดับสากล ดังนั้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจึงมีแผนขยายการลงทุนต่อเนื่องในปี 2554 และไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศจีนเพื่อเป็นการบุกเบิกธุรกิจค้าปลีกไทยในต่าง ประเทศเนื่องจากเห็นว่าประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่มีพลเมืองจำนวนมาก เศรษฐกิจมีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายๆกับ ประเทศไทย  ซึ่งข้อนี้ก็ดังที่ท่านได้ทราบกันบ้างแล้วว่าเราไปเปิดห้างเซ็นทรัลเมื่อ เดือนพฤษภาคมในปีที่ผ่านมา     ในปี 2554 กลุ่มเซ็นทรัล ยังคงมีแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเปิดตัวโครงการใหม่ เซ็นทรัลแอมบาสซี่ บนที่ดินของสถานทูตอังกฤษ  การขยายศูนย์การค้า เชียงราย พิษณุโลก พระราม 9 สุราษฎร์ธานี และเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ห้างเซน เซน ทาวเวอร์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว และ เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี การลงทุนในโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพ อาทิ เชียงราย พิษณุโลก พระราม 9 บางแค และ Tops Daily รวมถึงการใช้งบลงทุนในการปรับภาพลักษณ์สาขาต่างๆ ของทุกแบรนด์ เพื่อให้ดูทันสมัยอยู่เสมอ       รวมไปถึงการขยายสาขาในต่างประเทศ มีการเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล  และห้างฯเซนที่เมืองเสิ่นหยาง ประเทศจีน รวมทั้งยังมีแผนการศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศจีนเพิ่มเติม นอกจากนี้มีแผนรับบริหารจัดการโรงแรมในประเทศอีก 8-10 แห่ง โดยจะเลือกเฉพาะโรงแรมที่ดีมีคุณภาพในขนาดที่เหมาะสมก่อน และมีการลงทุนในโครงการต่อเนื่องของ Centara Grand Beach Resort Phuket 
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนใน แบรนด์ใหม่ๆ ซึ่งได้แก่ The Terrace, Cold Stone and Chabuton และการเพิ่มสาขา KFC, Mister Donut และ Auntie Anne′s     ด้านความรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคม หรือ CSR ในปีนี้ กลุ่มยังคงดำเนินตามแผนแม่บท 4 ด้าน คือ ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านความเท่าเทียมทางสังคม ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้านความพอเพียงทางเศรษฐกิจโดย จะผลักดันการทำงาน CSR เพื่อช่วยเหลือสังคมด้านการศึกษา สาธารณกุศล และสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลและเป็นรูปธรรมมากขึ้น และในโอกาสที่ปีนี้ปีเป็นมหามงคลของไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรง มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา ซึ่งทางกลุ่มเซ็นทรัลจะร่วมมือกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระพิเศษนี้ร่วมกับรัฐบาลและประชาชนชาวไทย     สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2553 กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลทั้ง 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (CRC)  กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (CPN) กลุ่มธุรกิจค้าส่ง (CMG) กลุ่มธุรกิจโรงแรม(CHR) และกลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลเรสตอรองส์กรุ๊ป (CRG) ใช้งบลงทุนไปประมาณ 12,700 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ไปในการลงทุนด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทั้งการเปิดโครงการใหม่และปรับปรุง สำหรับการลงทุนในโครงการใหม่ อาทิ โรงแรมฮิลตัน พัทยา ซึ่งเป็นส่วนเพิ่มเติมจาก ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช ซึ่งเปิดไปเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย ซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2554 และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2554 มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ส่วนออฟฟิศให้เช่า ลงทุนในโรงแรม Centara Grand Beach Resort Phuket  ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่     ขณะที่ผลประกอบการในปี 2553 กลุ่มธุรกิจทั้ง 5 กลุ่ม มียอดขายรวมกันทั้งสิ้น 119,000 ล้านบาท สำหรับยอดขายที่ได้คิดเป็นอัตราเติบโต 8% จากปีที่ผ่านมา ในปี 2553 กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัล ได้รับรางวัลเกียรติยศ อาทิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ได้รับรางวัล "Best of the Best" (ศูนย์การค้าสุดยอดแห่งความเป็นเลิศ) ประจำปี 2010 จากสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (International Council of Shopping Centers: ICSC) ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลได้รับการเสนอชื่อติดอันดับ 1 ใน 5 ของห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วโลก "Department Store of the Year" ในงานประชุมสุดยอดห้างสรรพสินค้าโลกประจำปี  2010 (Global Department Store Summit 2010) ณ นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา TRIS Rating ได้คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ที่ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ CPN ที่ระดับ "A+" พร้อมแนวโน้ม "คงที่" สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าในประเทศ ไทย นอกจากนี้ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ได้รับรางวัลศูนย์การประชุมยอดเยี่ยม (Best Meeting and Conventions Hotel) จากงาน TTG Travel Awards 2010 


"จิราธิวัฒน์"ปั้นโปรเจ็คศูนย์การค้า-โรงแรมหรู มูลค่ากว่าหมื่นล้าน “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” เป็น “Iconic Building” ย้ำภาพลักษณ์กรุงเทพฯ
นายทศ  จิราธิวัฒน์  กรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ซีอาร์ซี ผู้บริหารเครือข่ายกิจการค้าปลีกทุนไทยรายใหญ่ เปิดเผยว่า การลงทุนโครงการ “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” ศูนย์การค้าและโรงแรมระดับพรีเมี่ยม บนที่ดิน 9 ไร่ บริเวณสถานฑูตอังกฤษเดิมมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทว่า จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ และเอเชีย ภายใต้การผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยและตะวันตกที่โดดเด่น เป็น ““Iconic Building” ระดับโลก สะท้อนภาพลักษณ์กรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีโครงการในลักษณะที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองอย่างเช่นมหานครระดับโลก หรือ เมืองสำคัญต่างๆ  เช่น อาคาร ไทเป 101 ของไต้หวัน โตเกียว มิดทาวน์  ของญี่ปุ่น  แปซิฟิค  เพลส  ของฮ่องกง  และไอเอฟซี  ในเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น
“โจทย์แรกของเราคือการสร้างโครงการที่มีสถาปัตยกรรมระดับเวิลด์คลาสเพื่อเชิดหน้าชูตากรุงเทพฯ สะท้อนในแง่การท่องเที่ยวว่าไทยก็เป็นที่ 1 ของโลก เป็นอิมเมจให้กับกรุงเทพฯ ประเทศไทย และเซ็นทรัลกรุ๊ป” นายทศกล่าว
ทั้งนี้ ประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ถือเป็น “Key Player” ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย และประเทศในกลุ่มอาเซียน ใน 5-10 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในศตวรรษต่อจากนี้แทนที่ยุโรป และอเมริกา ภายใต้ฐานประชากรที่มีกำลังซื้อมหาศาล
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ เซ็นทรัล” ในระดับโลก จากปัจจุบันเซ็นทรัลเป็นห้างที่ดีที่สุดใน “ท็อปไฟว์”  ของโลก โดยที่การรับรู้ต่อแบรนด์ยังไม่แพร่หลายมากนัก เชื่อว่าภายหลังการเปิดบริการด้วยองค์ประกอบของ โกลเบิลแบรนด์ภายในเซ็นทรัล เอ็มบาสซี จะผลักดันให้ชื่อ “เซ็นทรัล” ก้าวสู่ “ท็อปทรี”  ได้ไม่ยาก
สำหรับ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี นับว่ามีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในรอบธุรกิจของเซ็นทรัลกว่า 60 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย 1.1 แสนบาทต่อตร.ม. มีจุดเด่นที่ “วินโดว์ดิสเพลย์” ยาวต่อเนื่องกว่า 400 เมตร จากสี่แยกวิทยุจรดสี่แยกชิดลม ยุทธศาสตร์การค้าแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ  ซึ่งภายใน 3 ปีจากนี้จะมี 14 โครงการใหม่ระดับพรีเมี่ยมทยอยเปิดบริการ ทั้งอาคารสำนักงาน คอนโดนิเนียม โรงแรม
โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ตัวอาคารสูง 37 ชั้น ประกอบด้วยพื้นที่ศูนย์การค้าจำนวน 8 ชั้น (รวมชั้นใต้ดิน) และอีก 30 ชั้นเป็นโรงแรมและสวนลอยฟ้า รวมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 1.44 แสนตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่ศูนย์การค้า 7 หมื่นตร.ม. เน้นลักซ์ชัวรี่แบรนด์ระดับโลกใหม่กว่า 30% ซึ่งไม่เคยเปิดบริการในเมืองไทยมาก่อน
ในส่วนโรงแรมบริหารโดยกลุ่มไฮแอท อินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้แบรนด์ “พาร์ค ไฮแอท” ซึ่งเปิดบริการแห่งแรกในกรุงเทพฯ  พื้นที่ 3.5 หมื่นตร.ม.จำนวน 222 ห้อง แต่ละห้องพักมีขนาดพื้นที่ประมาณ 65 ตร.ม.             
โดยลูกค้าเป้าหมายหลัก จะเป็นกลุ่มคนที่มีชื่อเสียง  และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง  เพราะนอกจากจะมีศูนย์การค้าจำหน่ายสินค้าแบรนด์ที่ไม่เหมือนใคร  และโรงแรมหรูระดับพรีเมี่ยมเปิดให้บริการแล้ว  ยังมีร้านอาหารชั้นนำ  และโรงหนังระดับเวิลด์คลาสจำนวน  5  โรง  
สำหรับการเปิดบริการจะแบ่งออกเป็น 2 เฟส  โดยเฟสแรกจะเปิดให้บริการในส่วนของพื้นที่ศูนย์การค้า ในช่วงปลายปี  2556  ขณะที่โรงแรมจะเปิดให้บริการในเฟส  2  ช่วงปลายปี 2557  โดยหลังจากเปิดบริการคาดมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี จุดคุ้มทุนภายใน  10  


*************
ปี 2545 (ปลาย มค.) ปี 2002 "เซ็นทรัล" ปรับโครงสร้างธุรกิจตระกูลจิราธิวัฒน์ โยกรุ่น 2 สุทธิชัย, สุทธิชาติ, สุทธิธรรม,สุทธิศักดิ์ ขึ้นเอ็กซ์คอม หรือบอร์ดใหญ่ เพื่อเปิดทางคลื่นลูกใหม่เจเนอเรชัน 3 ทศ, กอบชัย, พิชัย กุมบังเหียน 3 ธุรกิจค้าปลีก ศูนย์การค้า และเทรดดิ้ง ขณะกลุ่มโรงแรมและฟาสต์ฟูด สุทธิเกียรติ ยังนั่งควบเหมือนเดิม
แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการประชุมตระกูลจิราธิวัฒน์เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับ "CENTRAL'S RESTRUCTURE FOR EXCELLENCE" ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจของเซ็นทรัล กรุ๊ป (CG) ซึ่งดำเนินธุรกิจครอบคลุม 5 สายหลัก คือ 1. ธุรกิจค้าปลีก 2. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 3. ธุรกิจโรงแรม และรีสอร์ต 4. ธุรกิจฟาสต์ฟูด และ 5. ธุรกิจ ผลิต-ค้าส่ง เพื่อดันเจเนอเรชันใหม่ ซึ่งเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลขึ้นมาบริหารแทน
โดยผลการประชุมเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริหารภาคปฏิบัติ หรือ เอ็กซ์คอม (Executive Committee) ที่นายวันชัย จิราธิวัฒน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารภาคปฏิบัติ หรือเอ็กซ์คอม (Executive Committee) ได้ขอเกษียณตัวเองออกไป โดยมอบหมายให้นายสุทธิชัย จิราธิวัฒน์ ประธานอำนวยการฝ่ายการเงินเซ็นทรัล กรุ๊ป ขึ้นมาแทน นอกจากนี้ได้ดึงนายสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ซีอาร์ซี), นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(ซีพีเอ็น) นายสุทธิศักดิ์ จิราธิวัฒน์ ประธานซีเอ็มจี กรุ๊ป เข้ามาเป็นคณะกรรมการเอ็กซ์คอมทั้งหมด
ส่วนตำแหน่งบริหารในกลุ่มธุรกิจที่ว่าง ลงทั้ง 3 กลุ่ม ได้ดันรุ่นหลาน เจเนอเรชันที่ 3 ของตระกูลจิราธิวัฒน์ขึ้นมาแทนประกอบด้วยนายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายปฏิบัติการ ของซีอาร์ซี ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานซีอาร์ซี ดูแลธุรกิจค้าปลีก, นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด ได้รับตำแหน่งประธานซีเอ็มจี กรุ๊ป เพื่อดูแลธุรกิจค้าส่ง
สำหรับธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และฟาสต์ฟูด เนื่องจากเป็นธุรกิจใหญ่และมีหลายแบรนด์ ประกอบกับยังหาผู้ที่เหมาะสมไม่ได้ ดังนั้นนายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลโฮเต็ล จำกัด (มหาชน) จึงยังดูแลต่อไป

"คณะกรรมการเอ็กซ์คอม ซึ่งมีหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจทั้ง 5 สาขา โดยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัล หรือ ซีซีซี(Central Consolidated Company) ซึ่งเป็นระบบคณะกรรมการบริหารในรูปแบบใหม่ที่จะทดลองใช้ โดยคณะกรรมการชุดนี้ผู้ถือหุ้นของกลุ่มเซ็นทรัลจะคัดเลือกมืออาชีพเข้ามา นั่ง โดยจะเป็นคนนอกหรือคนในตระกูลจิราธิวัฒน์ก็ได้ อาทิ นายวิโรจน์ ภู่ตระกูล ก็เป็นหนึ่งในบอร์ดชุดนี้เช่นเดียวกันนอกจากจะมีการปรับในระดับเอ็กซ์คอม แล้ว ในส่วนของ 5 กลุ่มธุรกิจนั้น จะมีการปรับทิศทางในการดำเนินงานให้สอดคล้อง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของซีซีซีที่วางไว้" แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีกระบุ
ก่อนหน้านี้นายวันชัย จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารเครือเซ็นทรัล ได้กล่าวถึงนโยบายของกลุ่มเซ็นทรัลในปีนี้ว่า ในส่วนของการบริหารความมั่นคงของตระกูลจิราธิวัฒน์ ทางกลุ่มจะทดลองใช้ระบบคณะกรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัล หรือ ซีซีซีไปอีก 2 ปี หลังจากนั้นจะนำมาประเมินผลดีผลเสีย เพื่อทำการปรับระบบการบริหารกงสีกลางของตระกูลต่อไป ด้านธุรกิจทางซีซีซี ได้มอบให้คณะกรรมการบริหารภาคปฏิบัติหรือ เอ็กซ์คอม เพิ่มรายได้ของกลุ่มขึ้นอีก 15%
From : dd2020.multiply.com  
http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=941422
August 23rd, 2009


60 ปีเซ็นทรัล การหลอมรวมของลำไม้ไผ่"จิราธิวัฒน์"

โดย บิสิเนสไทย - 4 กรกฎาคม 2550 
http://www.arip.co.th/businessnews.php?id=411534
เซ็นทรัล ภายใต้การกุมบังเหียนของ ดร.วันชัย จิราธิวัฒน์ เป็นตามเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจ หลังจากการเริ่มต้นและเดินฝ่ามรสุมธุรกิจมากว่า 60 ปี พร้อมความภาคภูมิใจของผู้บริหารรุ่นที่ 3 ตั้งเป้าเดินหน้าส่งเซ็นทรัลโกอินเตอร์ สยายปีกสู่ตลาดต่างประเทศ เล็งเวียดนาม จีน จุดเริ่มต้นก้าวไปอินเตอร์
กว่า 60 ปีที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สยายปีกทางธุรกิจจากห้างสรรพสินค้า กลายเป็นการสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับทั้งในแง่ของคุณภาพและความหลากหลาย ในเครือข่ายของ Central Retail Corporation (CRC) และยังดำรงความเป็นหนึ่งในธุรกิจด้านค้าปลีกแบบครบวงจรจนได้รับการยอมรับอย่างก้าวขวาง พร้อมทั้งยังเป็นที่รู้จักดีของลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ

การก้าวย่างอย่างมั่นคงมาตลอด 60 ปีของ เซ็นทรัล จนมาถึงวันนี้ภายใต้การบริหารของตระกูล"จิราธิวัฒน์" ก็ยังเติบใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ น่าสนใจว่าอนาคตของเซ็นทรัลหลัง 60 ปีต่อจากนี้ไป จะมีทิศทางเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในมุมมองของประมุขสูงสุดอย่าง  ดร.วันชัย จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่"บิสิเนสไทย"ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ 
*รู้สึกอย่างไรกับการบริหารงานของเซ็นทรัลยุคนี้
  
ในขณะนี้ถือว่าเซ็นทรัลได้เดินไปในทิศทางที่ตั้งใจไว้ ตามที่คิดไว้ทุกอย่างเลย เพราะว่าการทำธุรกิจห้างสรรพสินค้า จะต้องเข้าใจถึงปัจจัยของธุรกิจและภาวะของเศรษฐกิจ ที่สำคัญสายป่านต้องยาว บางทีเกิดวิกฤติก็ต้องพิจารณาดูสถานการณ์ อย่างเช่นในปี 2540 หากจำเป็นจะต้องทำการตัดแขนตัดขาก็ต้องยอมตัดออกไป

 หลังๆ เมื่อสถานการณ์ของเราดีขึ้น ค่อยเดินหน้าหรือซื้อกลับคืนมาได้ "การทำธุรกิจต้องยอมรับว่าจะต้องอาศัยเก่งบวกเฮงด้วย"
ยกตัวอย่าง ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่เมื่อก่อนเราสร้างขึ้นมาแล้วมีปัญหาจากการลดค่าเงินบาท เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจ เซ็นทรัลก็ได้ขายไปในราคา 6 พันล้านบาท แต่เมื่อเซ็นทรัลกลับมาฟื้นตัวได้ใหม่อีกครั้งก็ได้ซื้อกลับมาในราคา 2 พันล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันท็อปส์ก็มีการขยายสาขาและการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ ไปถึง 96 สาขาแล้ว

- เคยมีความคิดที่จะซื้อ บิ๊กซี คืนมาบ้างไหม

(หัวเราะ........) ก็อยากจะซื้อกลับมาเหมือน  แต่ "กาสิโน" ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเค้าที่ฝรั่งเศสไม่ยอมขาย ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร
- ตั้งเป้าหมายไว้อย่างไรกับ"จิราวัฒน์"รุ่นใหม่
ตอนนี้ผู้บริหารของเซ็นทรัลก็เป็น"จิราธิวัฒน์ รุ่นที่ 3 และรุ่นที่จะขึ้นมาในอนาคตก็จะเป็นรุ่นที่ 4 ซึ่งในรุ่นที่ 3 นี้การทำธุรกิจจะมุ่งหน้าไปต่างประเทศ เพราะรุ่นนี้เรียนจบจากต่างประเทศทั้งนั้น ทำให้ได้เห็นความก้าวกน้าของโลกปัจจุบัน
  
ผมพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า เซ็นทรัลสำหรับรุ่นนี้ไปโลดแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันการบริหารงานของเซ็นทรัลเป็นระบบของธุรกิจสากลมากขึ้น กล่าวคือเมื่อก่อนจะมีผู้บริหารที่เป็นคนในตระกูลเท่านั้น

แต่ปัจจุบันนี้หากคนไม่พอหรือคนของเซ็นทรัลไม่สามารถบริหารงานได้ดีพอก็จะมีการจ้างพนักงานข้างนอกมาช่วยหรือสร้างคนขึ้นมา ใครเก่งก็ขึ้นมาบริหาร  ที่สำคัญ"จิราธิวัฒน์"รุ่นนี้เป็นรุ่นที่โกอินเตอร์แล้ว มีความเป็นสากล วัดกันที่ความสามารถ ไม่จำเป็นจะต้องเอาความอาวุโสมาวัดในสายการทำงาน เพราะธุรกิจก็คือธุรกิจ

- จุดเปลี่ยนจากระบบเถ้าแก่
  
ก็น่าจะเป็น 5 ปีที่แล้ว เราได้ที่ปรึกษาอย่างคุณวิโรจน์ ภู่ตระกูล เข้ามาช่วย เค้าบอกว่า สมัยก่อนเครือเซ็นทรัลทำงานแล้วก็ไม่มีผลกำไรแบ่งให้ลูกหลานเลย มีแต่เงินเดือน น่าจะเอากำไร 10-20% มาแบ่ง ใครที่อยากได้มาก ก็ต้องทำผลงานให้มาก ทำให้เด็กๆ เค้าตั้งใจในการทำงานมากขึ้นเพราะยิ่งกำไรเยอะก็จะได้ผลตอบแทนเยอะ

ดังนั้นก็เลยเป็นที่มาของตั้งการบอร์ดตระกูล การปรับโครงสร้างบอร์ดบริษัท มีการแบ่งลำดับ จัดหมวดหมู่ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบใหญ่ของคนตระกูล และเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นด้วย

- ความฝันของคุณวันชัย กับ เซ็นทรัล กรุ๊ป  
โดยส่วนตัวแล้วในประเทศนั้น ใจจริงแล้วอยากจะให้มีเซ็นทรัล ทุกจังหวัดเพื่อให้คนมีงานทำ ในตอนนี้ไม่ได้อยากได้กำไรอะไรมากมาย อยากให้การขยายสาขาของเซ็นทรัลเป็นการทำธุรกิจเพื่อสังคม หากเซ็นทรัลไปเปิดที่จังหวัดไหนก็ให้คนในพื้นที่จังหวัดนั้นมาทำงานกับเรา
  
พร้อมกันนี้ก็ได้วางแผนจะไปต่างประเทศด้วย ตอนนี้เล็งเวียดนาม ที่กรุงฮานอย อยากจะสร้างเป็นศูนย์กลางการค้า โดยจะให้บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา เป็นหัวหอกในการร่วมทุนและเข้าไปบริหาร

อย่างไรก็ตามที่เวียดนามมักจะมีปัญหาในเรื่องของที่ดินเพราะส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีที่ประเทศจีน เมืองเซี่ยงไฮ้ ล่าสุดมีการเช่าที่ของธนาคารกรุงเทพเป็นสำนักงานอยู่ ซึ่งมีพนักงานอยู่ที่นั่นหลายคน ตรงนี้คุณทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นคนดูแล ส่วนตัวผมเดินทางไปดูบ่อยๆ

- นอกจากค้าปลีก โรงแรม นำสินค้าเข้ามาขายยังอยากจะทำธุรกิจตัวอื่นๆ อีกไหม
  
ก็ยังมีธุรกิจศูนย์การค้า มีคอนโด บ้านจัดสรร ที่กำลังเดินหน้าทำอยู่ โดยมอบให้บมจ.เซ็นทรัลพัฒนาฯ ที่ทำธุรกิจอสังหาฯเป็นคนดำเนินการ คือเรามีคู่พันธมิตร แล้วก็ไปเทคโอเวอร์มาแต่รายละเอียดยังบอกไม่ได้ เพราะเซ็นทรัลพัฒนาฯอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

  - จุดแข็งของตระกูล"จิราธิวัฒน์" คืออะไร
 
คืออย่างนี้ ผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ มีพี่น้องเยอะ หลานก็มาก การที่เราจะดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ญาติพี่น้องจะต้องรวมตัวกันถึงจะอยู่ได้ การทำธุรกิจต้องทำร่วมกัน เราจะต้องทำให้เค้าเกิดความมั่นใจและเชื่อถือได้ และผมมักจะเป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน
  
ในตระกูลจิราธิวัฒน์เรารักกันมากๆ อันนี้ผมมักจะสอนลูกหลานอยู่เสมอว่า หากเราเป็นอย่างไม้ไผ่ถ้ามีอยู่อันเดียวใครเข้ามาก็จะสามารถหักไม้ไผ่นั้นได้ เพราะฉะนั้นถ้ารวมกันเป็นเหมือนไม้ไผ่หลายๆ ลำที่อยู่รวมกันเป็นมัดคนที่เข้ามาก็จะไม่สามารถหักได้ การอยู่ร่วมกัน ความสามัคคีจะก่อให้เกิดความเข้มแข็งขึ้น
-หลานคนไหนที่บริหารงานได้เข้าตาที่สุด

(โบกไม้โบกมือ ......) เฮ้ยไม่ได้   พูดไม่ได้ เดียวเสียระบบ .......   เอาเป็นว่าตอนนี้ ใครมีความสามารถตรงไหน เราก็เปิดโอกาสให้ทุกคน ที่สำคัญตระกูลจิราธิวัฒน์ไม่จำเป็นจะต้องมาทำธุรกิจในตระกูลก็ได้ อยากจะไปทำที่อื่นก็ได้ไม่ว่ากัน
 - ทุกวันนี้คุณวันชัยได้วางมือจากการบริหารงานไปแล้วรึยัง
  
ทุกวันนี้ผมก็ยังคงทำงานอยู่นะครับ  คนเรานะบางทีข้าราชการเกษียณ 60 ก็ไม่ทำงานแล้ว ก็เกิดมีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะด้านความจำ บางคนหลงๆลืมๆ แต่สำหรับผมยึดถือคติดว่า ต้องทำงานทุกวันเพราะถือว่าเป็นการลับสมอง ก็เหมือนมีด ถ้าไม่ลับสักทีเดี๋ยวสนิมก็ขึ้น ผมกลัวจะเป็นอัลไซเมอร์

ผมมาทำงานเช้าทุกวัน มาทำงาน 9 โมง กลับบ้าน 6 โมงเย็น ที่มาก็จะเข้ามาเซ็นเอกสาร และดูแลหุ้นด้วย มาดูสิว่ามีพนักงานคนไหนที่มาเช้ากว่าเรา เวลาผมเดินทางไปเยี่ยมลูกน้องนี่จะแวะทุกแห่ง เพื่อให้เค้าเกิดกำลังใจว่า ประมาณว่า เมื่อทำงานกับเราก็มีเจ้านายมาเยี่ยม นี่เป็นจิตวิทยาด้านการบริหารงานอย่างหนึ่ง

ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ หรือในวันว่างๆก็ยังชอบอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วก็ร้องเพลงเหมือนเดิม เพราะถือว่าได้ออกกำลังกายปอดไปด้วยในตัว

60ปีบนเส้นทางค้าปลีก
การพัฒนาตลอด 60 ปีของ เซ็นทรัล จากยุคเริ่มแรกของที่ นายเตียง จิราธิวัฒน์  ผู้ให้กำเนิด จากการเริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในร้านเล็ก เดินหน้าสู่การเป็นห้างสรรพสินค้า พร้อมการจัดหาระบบใหม่ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจค้าปลีกไทย ให้เดินหน้าสู่ความเป็นสากล
ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เติบโตขึ้นมาจากธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัวจิราธิวัฒน์ ที่เริ่มก่อตั้งกิจการขึ้นใน พ.ศ.2490 ภายใต้ชื่อ “เซ็นทรัลเทรดดิ้ง” ในครั้งนั้นเป็นเพียงร้านเล็ก คูหาเดียวที่ขายหนังสือและสินค้าต่างๆ ค่อยๆ ก้าวสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีความหลากหลาย นำสมัยและครบวงจรมากขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ได้ผงาดขึ้นเป็นศูนย์การค้าที่ยิ่งใหญ่และครบครัน ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเป็นเครือข่ายยักษ์ใหญ่รายหนึ่งของเมืองไทย
ยุคบุกเบิกเซ็นทรัล
  
จากการเปิดร้านค้าเพียงคูหาเดียวในปี 2490 ต่อมาอีก 9 ปี คือในปี พศ.2499  ด้วยวิสัยทัศน์ของนายเตียง และนายสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ได้เล็งเห็นศักยภาพการซื้อสินค้าแถววังบูรพา ประจวบกับยังมีที่ดินว่างผืนใหญ่อยู่ผืนหนึ่ง ที่ดินผืนนี้ นายโอสถ โกสิน นักพัฒนาที่ดินในยุคนั้น ตั้งใจจะขายให้ธนาคารนครหลวงไทย

นายเตียงจึงเจรจาขอซื้อไว้ และกลายมาเป็นที่ตั้งของ “ห้างเซ็นทรัล” สาขาวังบูรพา ห้างสรรพสินค้าแรกที่มีสินค้าครบเกือบทุกชนิดวางจำหน่ายโดยใช้ป้ายราคากำหนดราคาสินค้าเป็นมาตรฐาน ไม่มีการต่อรองเหมือนร้านค้าปลีกทั่วไป ถือว่านี่คือสาขาแรกที่เริ่มต้นสานความสัมพันธ์ของห้างเซ็นทรัลกับลูกค้าคนไทย

ต่อมาใน พ.ศ. 2507 นายสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ บุตรชายคนโตของนายเตียงซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสืบทอดธุรกิจจากบิดา ได้เล็งเห็นศักยภาพของศูนย์การค้าราชประสงค์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าทันสมัยแห่งแรกของประเทศไทยในเวลานั้น จึงได้เปิดห้างเซ็นทรัลขึ้นอีกสาขาหนึ่งขึ้นที่นั่น เซ็นทรัลสาขาราชประสงค์ตั้งอยู่บนตึกแถว 5 คูหา มีที่จอดรถอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า จึงประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง และนับเป็นการย้ายทำเลของห้างจากย่านช็อปปิ้งที่ชาวกรุงคุ้นเคย มาสู่ใจกลางย่านธุรกิจใจกลางเมืองเป็นครั้งแรก

พ.ศ. 2511 ห้างเซ็นทรัลได้ขยายกิจการด้วยการเปิดสาขาสีลม ขนาดอาคาร 9 ชั้น ที่โอ่อ่าทันสมัย มีการแยกบริการในหน่วยสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคเบ็ดเตล็ดต่างๆ โดยมีการจัดแยกสินค้าต่างๆอย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีการจัดแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดบริการขึ้นเป็นครั้งแรก จนได้รับความนิยมสูงสุดในสมัยนั้น สาขาสีลมนับว่าเป็นการก้าวเดินครั้งใหญ่ของธุรกิจห้างสรรพสินค้า ที่นับได้ว่าได้ระดับมาตรฐานสากลครั้งแรกของเมืองไทย
ยุคของการเดินหน้าสู่สากล

หลังจากที่เปิดสาขาสีลมได้เพียง 1 ปี นายเตียง จิราธิวัฒน์ ก็ถึงแก่กรรมลง นายสัมฤทธิ์ บุตรชายคนโต เข้ารับหน้าที่ผู้นำในการบริหารกิจการร่วมกับน้องๆ เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของบิดา จนกระทั่งสามารถวางรากฐานอันมั่นคงและกลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบันนี้

 แม้ “เซ็นทรัล” จะประสบความสำเร็จเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ยังคงปรับปรุงพัฒนาและขยายสาขาออกไปอีกหลายแห่ง เช่น พ.ศ. 2517 เปิดสาขาชิดลมบนเนื้อที่กว่า 7 ไร่ ด้วยทุน 80 ล้านบาท ด้วยแนวความคิดแบบ One Stop Shopping ลูกค้าสามารถจับจ่ายสินค้าที่ต้องการได้ครบทุกอย่างที่ห้างเซ็นทรัลเพียงแห่งเดียว ในครั้งนั้นสาขาชิดลมได้สร้างความสำเร็จเป็นประวัติการณ์แก่ห้างเซ็นทรัลด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 80% และเป็นที่หนึ่งในธุรกิจด้านนี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
จากวิกฤติสู่โอกาส

พ.ศ. 2526 ประเทศไทยได้เผชิญกับภัยจากผู้ก่อการร้ายอย่างรุนแรง นักธุรกิจชั้นนำหลายรายตัดสินใจออกไปหาช่องทางดำเนินกิจการในต่างประเทศ แต่กลุ่มเซ็นทรัลยังคงยืนหยัดสู่กับภาวะเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ยังร่วมมือกับทางราชการบุกเบิกย่านลาดพร้าว โดยการนำของนายสัมฤทธิ์ โดยเปิดสาขาลาดพร้าวขึ้นในรูปแบบของศูนย์การค้า ซึ่งนับว่าเป็นศูนย์การค้าที่มีความสมบูรณ์แบบและใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น  การลงทุนมหาศาลกับสาขาในยุคที่ประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ครอบครัวจิราธิวัฒน์ไม่สามารถขยายธุรกิจศูนย์การค้าไปนับสิบปี กว่าที่จะสามารถสร้างผลประกอบการที่เป็นบวกได้ในปีที่ 11 และเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าวกลายเป็นช็อปปิ้งพลาซาที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชียอาคเนย์
     
ต่อมาใน พ.ศ. 2531 ห้างเซ็นทรัลขยายกิจการไปยังสาขาหัวหมาก และนำเอาระบบบาร์โค้ดมาใช้ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อยกระดับการบริการลูกค้าให้ทันสมัย สะดวกสบาย รวมทั้งยังพัฒนาระบบบริหารสต็อคสินค้าของห้างเซ็นทรัลทั้งหมดอีกด้วย

พ.ศ. 2532 ห้างเซ็นทรัลริเริ่มแนวคิดใหม่ในการเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม โดยเริ่มเปิดดำเนินการสาขา “เซน” ในศูนย์การค้าเวิลด์เทรด (ปัจจุบันคือ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์”) โดยเน้นสินค้าทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่เป็นหลัก ซึ่งขณะนี้ได้เปิดทำการในภาพลักษณ์ใหม่ จากขนาดเดิม 16,000 ตารางเมตร เป็น 50,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ห้างเซ็นทรัลยังทุ่มงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เนรมิต “เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต” ให้เป็นศูนย์การค้าและบันเทิงครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
60 ปี “เซ็นทรัล”

ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ผ่านมา เซ็นทรัลได้เดินหน้าพัฒนาองค์กร และพิถีพิถันในการคัดเลือกสินค้าที่ดี มีคุณภาพ หลากหลาย ครบครัน ในราคาที่สมเหตุสมผล พร้อมบริการอำนวยความสะดวกสบาย โดยมีการฝึกอบรมพนักงานอย่างเป็นระบบ ในส่วนของการบริหาร ก็ได้เชิญผู้มีความรู้ความสามารถทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาร่วมทีมจัดตั้งหน่วยงาน อาทิ การดูและรักษาความปลอดภัย การจัดกิจกรรมรายการที่มีสาระประโยชน์ต่างๆ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ในส่วนของการตอบแทนสังคม

ห้างเซ็นทรัลถือว่าเป็นบริษัทของคนไทย ที่เติบโตจากสังคมไทย มีความตั้งใจที่จะดูแลสมบัติของชาติอันเป็นมรดกล้ำค่าให้กับลูกหลานและ  ตอบแทนสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับทางกรมศิลปากรช่วยปรับปรุงบูรณะโบราณสถาน เช่น โครงการบูรณะวัดพระสิงห์ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนงานด้านการศึกษา ทางเซ็นทรัลได้มีการเตรียมงบประมาณเพื่อเป็นทุนการศึกษารวมถึงงบประมาณสำหรับทำนุบำรุงห้องสมุดตามโรงเรียนในภูมิภาคต่างๆ และในด้านสิ่งแวดล้อมก็ได้มีการร่วมมือกับมูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อมสร้างกิจกรรมต่างๆเพื่อดูแลสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเรา

นอกจากขยายกิจการออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ เซ็นทรัลยังเดินหน้าบุกเบิกไปยังต่างประเทศในอนาคตอันใกล้นี้

 **********************

หนังสืองานวิจัยที่เจาะลึก ธุรกิจตระกูลจิราธิวัฒน์ ได้มากที่สุด 

ดร.ดนัย เทียนพุฒ
รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ปี 2552 ประเภทนักวิชาการและที่ปรึกษา
นักวิชาการและที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ

http://www.drdanai.blogspot.com
โทร 029301133